หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันนี้ยาเสพติดมีมากมายและแพร่ระบาดในประทั่วเทศทุกภาค และวัยรุ่นไทยเยาวชนได้เข้าไปลองเสพยาจนเกิดอาการติดยา ซึ่งเป็นภัยต่อสังคมและบ้านเมืองอย่างรุนแรง จนทำให้ประเทศชาติมีความอ่อนแอหลายด้าน เช่น ด้านการศึกษา ด้านสังคม
ด้วยเหตุนี้ผู้พัฒนาโครงงานจึงได้เกิดแนวคิดที่จะสร้างเว็บไซต์ เพื่อจะให้รู้ถึงพิษภัยยาเสพติดให้แก่วัยรุ่นหรือเยาวชน เพื่อไม่ให้หลงหรืออยากลองยาเสพติด และ้ฃเกิดความคิดที่จะอยากต่อต้านยาเสพติดเพื่อช่วยประเทศชาติ
ผู้พัฒนาอย่างยิ่งว่าการรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้จะสามารถช่วยประเทศชาติได้ไม่มากก็น้อย ในการต่อต้านยาเสพติดเพื่อให้สังคมและบ้านเมืองเกิดความเข้มแข็งเพื่อให้เยาวชนไม่หลงผิดไปกับยาเสพติด
จุดประสงค์
1.เพื่อให้เยาวชนไม่หลงผิดไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
2.เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสังคมในชุมชนและบ้านเมือง
3.เพื่อให้สังคมบ้านเมืองปลอดจากยาเสพติด
4.เพื่อให้เป็นการพัฒนาเว็บไซต์มีความสามารถพัฒนาเว็บไซต์ได้มากขึ้น
รูปแบบของยาเสพติดบางส่วน
ยาบ้า



เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสกัดยางฝิ่น มีลักษณะเป็นผงสีขาว จนถึงสีเทา ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้ง่าย มีรสขม มัผลิตออกมา
ในรูปเม็ดแคปซูล น้ำ หรืออัดเป็นแท่ง
การเสพ
ใช้รับประทาน หรือฉีดเข้าเส้น
การออกฤทธิ์
มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง มีความรุนแรงกว่าฝิ่น 8 - 10 เท่า แพทย์นำมาใช้ลดอาการปวด ทำให้คนไข้รู้สึกง่วงนอน เหม่อลอย
โทษ
กระวนกระวาย สับสน หวาดระแวง ก้าวร้าว ชัก หมดสติลงแดง
โคเคน หรือ โคคาอีนเป็นยาเสพติด ที่สกัดได้จากใบของต้นโคคา ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ลักลอบปลูกมากในประเทศแถบอเมริกาใต้ เช่น เปรู โบลิเวีย และโคลัมเบีย เป็นต้น ในใบโคคาจะมีโคเคนอยู่ประมาณ 2% โคเคนมีชื่อเรียกในกลุ่มผู้เสพว่า COKE, Snow, Speed Ball, Crack โคเคนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ โคเคนเบส (Cocaine base) และเกลือโคเคน เช่น โคเคนไฮโดรคลอไรด์ (Cocaine hydrochloride) และโคเคนซัลเฟต (Cocaine sulfate)

เป็นสารเคมีที่จากน้ำมัน และ แกสธรรมชาติ ระเหยได้ง่าย เช่น ทินเอนร์ กาวน้ำ ยาล้างเล็บ น้ำมันก๊าด แลคเกอร์
การเสพ
ใช้สูดดม
การออกฤทธิ์
มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำลายสมอง ผู้เสพในช่วงแรกจะมีอากรคล้ายคนเมาสุรา พูดจาไม่ชัด สมองโล่ง ควบคุม
ตนเองไม่ได้เซื่องซึม ง่วงนอน เคลื่อนไหวช้า ไม่รู้สึกตัว เห็นภาพหลอน มือสั่น ตาพร่า นัยน์ตากระตุก ก้าวร้าว
โทษ
ผู้เสพจะมีอาการทุรนทุราย หงุดหงิด โกรธง่าย มือไม้สั่น เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน เห็นภาพหลอน มีอาการหลงผิด
หวาดระแวง เกรงว่าคนจะมาทำร้าย หูแว่ว ประสาทหลอนอาจเสียชีวิตได้
ยาบ้า
ลักษณะ
เป็นเม็ดกลมแบนขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 มิลลิเมตร ความหนาประมาณ2.5 มิลลิเมตร น้ำหนักเม็ดยาประมาณ
90 มิลลิกรัม มีหลากหลายสี ได้แก่สีส้ม สีม่วง สีเหลือง สีเขียว มีสัญลักษณ์ ด้านหนึ่งมีตัวอักษร" wy, y, R " อีกด้านหนึ่งเรียบ
การเสพ
การเสพคือ การนำเอาดอกใบและก้านมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแห้ง บดให้เป็นผง หรือการสูบโดยใช้กล้องที่เรียกว่า บ้องกัญชา
การออกฤทธิ์
กระตุ้นประสาททุกส่วนของสมอง ทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มหากใช้ปริมาณสูง จะกดระบบประสาทและระบบหายใจ
โทษ
ถ้าเสพในปริมาณน้อย
- ผลต่อจิตใจ ทำให้อารมณ์สดชื่น มีความคิดริเริ่มและความคิดแจ่มใส ความสามารถในการใช้สมาธิดีขึ้น มีความตื่นตัว มีความเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มสูงขึ้น ความรู้สึกเก็บกดลดลง ความรู้สึกรับผิดชอบลดลง
- ผลทางด้านร่างกาย เพิ่มสมรรถนะทางกาย มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว รวมทั้งการพูด การทำงานที่ต้องใช้แรงงาน
ความอดทนของร่างกาย ปริมาณงานเพิ่มขึ้น แต่ข้อผิดพลาดจากการทำงานอาจไม่ลดลง แต่มีข้อจำกัด เมื่อหมดฤทธิ์ยา
ทำให้เกิดอาการ "หลับใน"
ถ้าเสพในปริมาณมาก
- ผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดความตื่นเต้นในอารมณ์ โดยอารมณ์แปรปรวนง่าย เครียด มีอาการคล้ายโรคจิต มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง อาจทำร้ายผู้อื่น หรือทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย
- ผลทางด้านร่างกาย ทำให้มือสั่น มีปฎิกริยาตอบสนองไวยิ่งขึ้น อาจชักได้ อาการข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หงุดหงิด
และโมโหง่าย วิตกกังวล พูดมาก นอนไม่หลับ ปากแห้ง เบื่ออาหาร สตรีที่ตั้งครรภ์ระหว่าง 3 เดือนแรกอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ หรืออาจทำให้บุตรในครรภ์เสียชีวิต และอาจได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ที่หลอดเลือดหดตัวฤทธิ์ ลดความอยากอาหาร ทำให้ขาดสาร อาหารและวิตามิน
เป็นเม็ดกลมแบนขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 มิลลิเมตร ความหนาประมาณ2.5 มิลลิเมตร น้ำหนักเม็ดยาประมาณ
90 มิลลิกรัม มีหลากหลายสี ได้แก่สีส้ม สีม่วง สีเหลือง สีเขียว มีสัญลักษณ์ ด้านหนึ่งมีตัวอักษร" wy, y, R " อีกด้านหนึ่งเรียบ

การเสพคือ การนำเอาดอกใบและก้านมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแห้ง บดให้เป็นผง หรือการสูบโดยใช้กล้องที่เรียกว่า บ้องกัญชา

กระตุ้นประสาททุกส่วนของสมอง ทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มหากใช้ปริมาณสูง จะกดระบบประสาทและระบบหายใจ

ถ้าเสพในปริมาณน้อย
- ผลต่อจิตใจ ทำให้อารมณ์สดชื่น มีความคิดริเริ่มและความคิดแจ่มใส ความสามารถในการใช้สมาธิดีขึ้น มีความตื่นตัว มีความเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มสูงขึ้น ความรู้สึกเก็บกดลดลง ความรู้สึกรับผิดชอบลดลง
- ผลทางด้านร่างกาย เพิ่มสมรรถนะทางกาย มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว รวมทั้งการพูด การทำงานที่ต้องใช้แรงงาน
ความอดทนของร่างกาย ปริมาณงานเพิ่มขึ้น แต่ข้อผิดพลาดจากการทำงานอาจไม่ลดลง แต่มีข้อจำกัด เมื่อหมดฤทธิ์ยา
ทำให้เกิดอาการ "หลับใน"
ถ้าเสพในปริมาณมาก
- ผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดความตื่นเต้นในอารมณ์ โดยอารมณ์แปรปรวนง่าย เครียด มีอาการคล้ายโรคจิต มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง อาจทำร้ายผู้อื่น หรือทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย
- ผลทางด้านร่างกาย ทำให้มือสั่น มีปฎิกริยาตอบสนองไวยิ่งขึ้น อาจชักได้ อาการข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หงุดหงิด
และโมโหง่าย วิตกกังวล พูดมาก นอนไม่หลับ ปากแห้ง เบื่ออาหาร สตรีที่ตั้งครรภ์ระหว่าง 3 เดือนแรกอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ หรืออาจทำให้บุตรในครรภ์เสียชีวิต และอาจได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ที่หลอดเลือดหดตัวฤทธิ์ ลดความอยากอาหาร ทำให้ขาดสาร อาหารและวิตามิน

เฮโรอีน
เฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี จากปฏิกิริยาระหว่างมอร์ฟีนกับสารเคมีบางชนิด เช่น อาเซติคแอนไฮไดรด์ (Aceticanhydride) หรือ อาเซติลคลอไรด์ (Acetylchloride) หรือเอทิลิดีนไดอาเซเตท (Ethylidinediacetate) โดยนักวิจัยชาวอังกฤษ ชื่อ C.R. Wright ได้ค้นพบวิธีการสังเคราะห์เฮโรอีนจากมอร์ฟีน โดยใช้น้ำยาอาเซติคแอนไฮไดรด์ (Aceticanhydride) บริษัทผลิตยาไบเออร์ (Bayer) ได้นำมาผลิตเป็นยาออกสู่ตลาดโลก ในชื่อทางการค้าว่า "Heroin" และถูกนำมาใช้ทดแทนมอร์ฟีนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่มีการใช้เฮโรอีนในวงการแพทย์มานานถึง 18 ปี จึงทราบถึงอันตราย และผลที่ทำให้เกิดการเสพติดให้โทษที่ร้ายแรง จนปี พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย ระบุให้เฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษ ห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง
หลังจากนั้นต่อมาอีก 35 ปี คือเมื่อปี พ.ศ. 2502 เฮโรอีนจึงได้แพร่ระบาดสู่ประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยจึงออกกฎหมาย ระบุให้เฮโรอีนและมอร์ฟีนเป็นยาเสพติดให้โทษ
เฮโรอีนออกฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีนประมาณ 4-8 เท่า และออกฤทธิ์แรงกว่าฝิ่น ประมาณ 30-90 เท่า โดยทั่วไปเฮโรอีนจะมีลักษณะเป็นผงสีขาว สีนวล หรือสีครีม มีรสขม ไม่มีกลิ่น และแบ่งได้เป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกับมอร์ฟีน ได้แก่ เฮโรอีนเบส (Heroin base) ซึ่งมีคุณลักษณะเด่น คือ ไม่ละลายน้ำ ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เกลือของเฮโรอีน (Heroin salt) เช่น เฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ (Heroin hydrochloride)
เฮโรอีนที่แพร่ระบาดในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
- เฮโรอีนผสม หรือเรียกว่าเฮโรอีนเบอร์ 3 หรือไอระเหย เป็นเฮโรอีนที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ เนื่องจากมีการผสมสารอื่นเข้าไปด้วย เช่น ผสมสารหนู สตริกนิน ยานอนหลับ กาเฟอีน แป้ง น้ำตาลและอาจผสมสี เช่น สีม่วงอ่อน สีชมพูอ่อน สีน้ำตาล อาจพบในลักษณะเป็นผง เป็นเกล็ด หรืออัดเป็นก้อนเล็ก ๆ มีวิธีการเสพโดยการสูดเอาไอสารเข้าร่างกาย จึงเรียกว่า "ไอระเหย" หรือ "แคป"
- เฮโรอีนเบอร์ 4 เป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง มีลักษณะเป็นผงละเอียด หรือเป็นเม็ดคล้ายไข่ปลา หรือพบในลักษณะอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักมีสีขาวหรือสีครีม ไม่มีกลิ่น มีรสขม เป็นที่รู้จัดทั่วไปว่า "ผงขาว" มักเสพโดยนำมาละลายน้ำและฉีดเข้าร่างกาย หรือผสมบุหรี่สูบ
อาการผู้เสพ :
- มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดตามข้อ ปวดสันหลัง ปวดบั้นเอว ปวดหัวรุนแรง
- มีอาการจุกแน่นในอก คล้ายใจจะขาด อ่อนเพลียอย่างหนัก หมดเรี่ยวแรงมีอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ อึดอัดทุรุนทุราย นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย บางรายมีอาการชักตาตั้ง น้ำลายฟูมปาก ม่านตาดำหดเล็กลง
- ใจคอหงุดหงิดฟุ้งซ่าน มึนงง หายใจไม่ออก
- ประสาทเสื่อม ความจำเสื่อม
โทษทางร่างกาย :
- โทษต่อผิวหนัง เป็นอาการที่ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังเกิดอาการขยายตัว เกิดเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ ขึ้นบริเวณผิวหนังและกระตุ้นสารฮิสตามีน (Histamine) และกระตุ้นต่อมเหงื่อด้วย อาการนี้พบเห็นได้ หลังจากผู้เสพเฮโรอีนใหม่ ๆ จะมีอาการคันใต้ผิวหนังจึงแสดงอาการเกา หรือลูบบริเวณใบหน้า ลำคอ นอกจากนี้ผู้เสพจะมีเหงื่อออกมากกว่าปกติและขนลุก
- โทษต่อลำไส้ ทำให้ลำไส้บิดตัวลงผู้เสพจึงมีอาการท้องผูก
- กดศูนย์การหายใจ ทำให้หายใจช้ากว่าปกติ ถ้าใช้ในปริมาณมากจะทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
- ทำลายฮอร์โมนเพศถ้าผู้เสพเป็นเพศหญิงจะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ ถ้าผู้เสพเป็นเพศชายจะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง ไม่มีความรู้สึกต้องการทางเพศ
- ทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคทางร่างกาย ผู้เสพติดจึงมีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่าย อาการที่พบเห็นภายนอก คือ ผิวหนังมีอาการติดเชื้อเป็นแผลพุพอง ติดเชื้อวัณโรค ติดเชื้อโรคตับอักเสบ นอกจากนี้ผู้เสพติดเฮโรอีนจะทำให้ติดโรคเอดส์ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะผู้เสพมักใช้เข็มฉีดยาที่ไม่ได้ทำความสะอาด หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกันจนทำให้ติดเชื้อ HIV
ผู้เสพติดเฮโรอีนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะเป็นผู้แพร่ระบาด HIV เนื่องจากการจับกลุ่มใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือในบางครั้งก็มีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน โดยไม่ได้ป้องกัน
ฤทธิ์ในทางเสพติด :
เฮโรอีนออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีอาการขาดยาทางร่างกายอย่างรุนแรง
เฮโรอีนออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีอาการขาดยาทางร่างกายอย่างรุนแรง
โทษทางกฎหมาย :
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
สรุปข้อหาและบทลงโทษดังนี้
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
สรุปข้อหาและบทลงโทษดังนี้

ฝิ่น
ลักษณะ
มีสีน้ำตาล กลิ่นเหม็นเขียว รสขม เรียกว่า " ฝิ่นดิบ" ถ้ามีสีน้ำตาลดำและเหนียว (เกิดจากการ นำมาเคี่ยวหรือหมัก)
เรียกว่า " ฝิ่นสุก
การเสพ
การสูดไอระเหย การสูบ ผสมน้ำฉีดเข้าเส้น หรือกล้ามเนื้อ
การออกฤทธิ์
กดและกระตุ้นสมอง และประสาท เฮโรอีน พิษร้ายทำลายชาติ
โทษ
ทำให้สมองเสื่อม ปัญญาอ่อน ร่างกายซีดผอม ทรุดโทรม จนถึงขาดภูมิต้านทานโรค ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน
หรือเสพเกิน ขนาดอาจถึงขั้นช็อค และเสียชีวิตได้การเสพเฮโรอีนด้วยการฉีด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
ยังเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์อีกด้วย
มีสีน้ำตาล กลิ่นเหม็นเขียว รสขม เรียกว่า " ฝิ่นดิบ" ถ้ามีสีน้ำตาลดำและเหนียว (เกิดจากการ นำมาเคี่ยวหรือหมัก)
เรียกว่า " ฝิ่นสุก

การสูดไอระเหย การสูบ ผสมน้ำฉีดเข้าเส้น หรือกล้ามเนื้อ

กดและกระตุ้นสมอง และประสาท เฮโรอีน พิษร้ายทำลายชาติ

ทำให้สมองเสื่อม ปัญญาอ่อน ร่างกายซีดผอม ทรุดโทรม จนถึงขาดภูมิต้านทานโรค ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน
หรือเสพเกิน ขนาดอาจถึงขั้นช็อค และเสียชีวิตได้การเสพเฮโรอีนด้วยการฉีด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
ยังเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์อีกด้วย
กัญชา
กัญชาเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้าขึ้นได้ง่ายในเขตร้อน ลำต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ลักษณะใบจะแยกออกเป็นแฉกประมาณ 5-8 แฉก คล้ายใบมันสำปะหลังที่ขอบใบทุกใบจะมีรอยหยักอยู่เป็นระยะๆ ออกดอกเป็นช่อเล็กๆ ตามง่ามของกิ่งและก้าน ส่วนที่คนนำมาเสพได้แก่ส่วนของกิ่ง ก้าน ใบ และยอดช่อดอกกัญชา โดยนำมาตากหรืออบแห้ง แล้วบดหรือหั่นให้เป็นผงหยาบๆ จากนั้นจึงนำมายัดไส้บุหรี่สูบ (แตกต่างจากบุหรี่ทั่วไปที่ไส้บุหรี่จะมีสีเขียว ต่างจากไส้ยาสูบที่มีสีน้ำตาล และขณะจุดสูบจะมีกลิ่นเหมือนหญ้าแห้งไหม้ไฟ) หรืออาจสูบด้วยกล้องหรือบ้องกัญชา บ้างก็ใช้เคี้ยวหรือผสมลงในอาหารรับประทาน ปัจจุบันรูปแบบของกัญชาที่พบ นอกจากจะพบในลักษณะของกัญชาสด กัญชาแห้งอัดเป็นแท่งเป็นก้อนแล้ว ยังอาจพบในรูปของ “น้ำมันกัญชา” (Hashish Oil) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ได้จากการนำกัญชามาผ่านกระบวนการสกัดหลายๆ ครั้ง จึงได้เป็นนำมันกัญชาที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทสูงถึง 20-60% หรืออาจพบในลักษณะของ “ยางกัญชา” (Hashish) เป็นยางแห้งที่ได้จากใบ และยอดช่อดอกกัญชา ซึ่งโดยทั่วไปจะมีฤทธิ์แรงกว่ากัญชาสด และมีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประมาณ 4-8%
กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ ที่ออกฤทธิ์หลายอย่างต่อระบบประสาทส่วนกลาง คือ ทั้งกระตุ้นประสาท กดและหลอนประสาท สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในกัญชามีหลายชนิด แต่สารที่สำคัญที่สุดที่มีฤทธิ์ต่อสมองและทำให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol) หรือ THC ที่มีอยู่มากในส่วนของยอดช่อดอกกัญชา สาร THC นี้ในเบื้องต้นจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพตื่นเต้น ช่างพูด และหัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะกดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน ๆ เซื่องซึม และง่วงนอน หากเสพเข้าไปในปริมาณมากๆ จะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว ความคิดสับสน ควบคุมตนเองไม่ได้
อาการผู้เสพ :
อารมณ์อ่อนไหวเปลี่ยนแปลง ความคิดเลื่อนลอยสับสน ความคุมตัวเองไม่ได้ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อลีบ หัวใจเต้นเร็ว หูแว่ว
อารมณ์อ่อนไหวเปลี่ยนแปลง ความคิดเลื่อนลอยสับสน ความคุมตัวเองไม่ได้ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อลีบ หัวใจเต้นเร็ว หูแว่ว
โทษที่ได้รับ :
หลายคนคิดว่าการเสพกัญชานั้น ไม่มีโทษภัยร้ายแรงมากนัก แต่จากการศึกษาวิจัย พบว่า กัญชาเป็นยาเสพติดอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพมากเกินกว่าที่คาดคิด อาทิเช่น
หลายคนคิดว่าการเสพกัญชานั้น ไม่มีโทษภัยร้ายแรงมากนัก แต่จากการศึกษาวิจัย พบว่า กัญชาเป็นยาเสพติดอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพมากเกินกว่าที่คาดคิด อาทิเช่น
- ทำลายสมรรถภาพทางกาย ผู้เสพกัญชาในปริมาณมาก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม จนไม่สามารถประกอบกิจการงานใด ๆ ได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงาน ความคิด และการตัดสินใจ รวมทั้งจะมีลักษณะ Amotivation Syndrome คือ การหมดแรงจูงใจของชีวิต จะไม่คิดทำอะไรเลย อยากอยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และการทำงานเป็นอย่างมาก
- ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การเสพติดกัญชามีผลร้าย คล้ายกับการติดเชื้อเอดส์ (HIV) กล่าวคือ กัญชาจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานเสื่อมลง หรือบกพร่อง ร่างกายจะอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย
- ทำลายสมอง การเสพกัญชาแม้เพียงในระยะสั้น ทำให้ผู้เสพบางรายสูญเสียความทรงจำ เพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล และหากผู้เสพเป็นผู้มีอาการของโรคจิตเภท หรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติทั่วไป
- ทำให้เกิดมะเร็งปอด เนื่องจากผู้เสพจะอัดควันกัญชาเข้าไปในปอดลึก นานหลายวินาที การสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาเพียง 4 มวน ซึ่งเท่ากับการสูบบุหรี่ 1 ซอง หรือ 20 มวนนั้น สามารถทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ได้มากกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดาถึง 5 เท่า และในกัญชายังมีสารเคมีที่เป็นอันตราย สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้
- ทำร้ายทารกในครรภ์ กัญชาจะทำลายโครโมโซม ฉะนั้นหญิงที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดมาจะพิการ มีความผิดปกติทางร่างกาย เช่น ความผิดปกติของเซลส์ประสาทในสมอง ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศและพันธุกรรม
- ทำลายความรู้สึกทางเพศ กัญชาจะทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในชายลดลง ทำให้ปริมาณอสุจิน้อยลง ทั้งยังพบว่า ผู้เสพติดกัญชามักกลายเป็นคนขาดสมรรถภาพทางเพศ
- ทำลายสุขภาพจิต ฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้ผู้เสพมีอาการเลื่อนลอย ฝันเฟื่อง ความคิดสับสน และมีอาการประสาทหลอน จนควบคุมตนเองไม่ได้ ซึ่งถ้าเสพเป็นระยะเวลานาน จะทำให้มีอาการจิตเสื่อม
นอกจากผลร้ายที่มีต่อร่างกายและจิตใจของผู้เสพแล้ว การขับรถขณะเมากัญชายังก่อให้เกิดอันตรายได้มาก เพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้เสียสมาธิ ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด การตอบสนองช้าลง การรับรู้ทางสายตาบิดเบือน ความสามารถในการมองเห็นสิ่งเคลื่อนที่ด้อยลง จึงเป็นอันครายอย่างยิ่งต่อผู้ขับรถยนต์ หรือแม้แต่เดินบนท้องถนนก็ตาม
โทษทางกฎหมาย :
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
สรุปข้อหาและบทลงโทษดังนี้
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
สรุปข้อหาและบทลงโทษดังนี้

มอร์ฟีน
ลักษณะ
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสกัดยางฝิ่น มีลักษณะเป็นผงสีขาว จนถึงสีเทา ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้ง่าย มีรสขม มัผลิตออกมา
ในรูปเม็ดแคปซูล น้ำ หรืออัดเป็นแท่ง

ใช้รับประทาน หรือฉีดเข้าเส้น

มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง มีความรุนแรงกว่าฝิ่น 8 - 10 เท่า แพทย์นำมาใช้ลดอาการปวด ทำให้คนไข้รู้สึกง่วงนอน เหม่อลอย

กระวนกระวาย สับสน หวาดระแวง ก้าวร้าว ชัก หมดสติลงแดง
โคเคน
โคเคนที่พบในประเทศไทย มี 2 ชนิด ได้แก่
- โคเคนชนิดผง มีลักษณะเป็นผงละเอียดสีขาว รสขม ไม่มีกลิ่น
- โคเคนรูปผลึกเป็นก้อน (Free base, Crack)
ฤทธิ์ในทางเสพติด :
โคเคนออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท มีอาการเสพติดทางร่างกายเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับวิธีการและปริมาณที่เสพ มีอาการทางจิตใจ อาจมีอาการขาดยาทางร่างกายแต่ไม่รุนแรง
โคเคนออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท มีอาการเสพติดทางร่างกายเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับวิธีการและปริมาณที่เสพ มีอาการทางจิตใจ อาจมีอาการขาดยาทางร่างกายแต่ไม่รุนแรง
อาการผู้เสพ :
หัวใจเต้นแรง ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย ตัวร้อนมีไข้ นอนไม่หลับ มีอาการซึมเศร้า
หัวใจเต้นแรง ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย ตัวร้อนมีไข้ นอนไม่หลับ มีอาการซึมเศร้า
โทษรับ ที่ได้:
ผนังจมูกขาดเลือด ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกฝ่อ ขาดหรือทะลุ สมองถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการชักมีเลือดออกในสมอง เนื้อสมองตายเป็นบางส่วน หัวใจถูกกระตุ้นอยู่เสมอ กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมลงทีละน้อยจนหัวใจบีบตัวไม่ไหวทำให้หัวใจล้มเหลว ผลจากการเสพเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดอาการโรคจิตซึมเศร้า
โทษทางกฎหมาย :
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522

สารละเหย
ลักษณะ
เป็นสารเคมีที่จากน้ำมัน และ แกสธรรมชาติ ระเหยได้ง่าย เช่น ทินเอนร์ กาวน้ำ ยาล้างเล็บ น้ำมันก๊าด แลคเกอร์

ใช้สูดดม

มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำลายสมอง ผู้เสพในช่วงแรกจะมีอากรคล้ายคนเมาสุรา พูดจาไม่ชัด สมองโล่ง ควบคุม
ตนเองไม่ได้เซื่องซึม ง่วงนอน เคลื่อนไหวช้า ไม่รู้สึกตัว เห็นภาพหลอน มือสั่น ตาพร่า นัยน์ตากระตุก ก้าวร้าว

ผู้เสพจะมีอาการทุรนทุราย หงุดหงิด โกรธง่าย มือไม้สั่น เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน เห็นภาพหลอน มีอาการหลงผิด
หวาดระแวง เกรงว่าคนจะมาทำร้าย หูแว่ว ประสาทหลอนอาจเสียชีวิตได้
ประเภทของสิ่งเสพติด
จำแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แบ่งเป็น 4 ประเภท
- ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาท เครื่องดื่มมึนเมา บาร์บิทูเรต ทุกชนิด รวมทั้ง สารระเหย เช่น ทินเนอร์ แล็กเกอร์ น้ำมันเบนซิน กาวเป็นต้น มักพบว่าผู้เสพติดมี ร่างกายซูบซีด ผอมเหลือง อ่อนเพลีย ฟุ้งซ่าน อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
- ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี กระท่อม โคเคน เครื่องดื่มคาเฟอีน มักพบว่าผู้เสพติด จะมีอาการ หงุดหงิด กระวนกระวาย จิตสับสน หวาดระแวง บางครั้งมีอาการคลุ้มคลั่ง หรือทำในสิ่งที่คนปกติ ไม่กล้าทำ เช่น ทำร้ายตนเอง หรือฆ่าผู้อื่น เป็นต้น
- ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี เห็ดขี้ควาย ดี.เอ็ม.ที.และ ยาเค เป็นต้น ผู้เสพติดจะมีอาการประสาทหลอน ฝันเฟื่อง หูแว่ว ได้ยินเสียงประหลาดหรือเห็นภาพหลอนที่น่าเกลียดน่ากลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ ในที่สุดมักป่วยเป็นโรคจิต
- ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน คือทั้งกระตุ้นกดและหลอนประสาทร่วมกัน ผู้เสพติดมักมี อาการหวาดระแวง ความคิดสับสน เห็นภาพลวงตา หูแว่ว ควบคุมตนเองไม่ได้และป่วยเป็นโรคจิตได้แก่ กัญชา
จำแนกตามแหล่งที่มา
- จากธรรมชาติ เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน กระท่อม กัญชา ฯลฯ
- จากการสังเคราะห์ เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน ยาอี เอ็คตาซี ฯลฯ
จำแนกตามกฎหมาย
- พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เช่น แอมเฟตามีน เฮโรอีน LSD ยาอี ฯลฯ
- พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตใจและประสาท พ.ศ. 2518 เช่น อีเฟดรีน
สาเหตุของการติดยาเสพติด
การติดยาเสพติดอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจาก
- ความอยากรู้อยากลอง ด้วยความคึกคะนอง เป็นส่วนใหญ่
- เพื่อนชวน หรือต้องการให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มเพื่อน
- มีความเชื่อในทางที่ผิด เช่น เชื่อว่ายาเสพติดบางชนิด อาจช่วยให้สบายใจ ลืมความทุกข์ หรือช่วยให้ทำงานได้มากๆ
- ขาดความระมัดระวังในการใช้ยา เพราะคุณสมบัติของยา บางชนิดอาจทำให้ผู้ใช้ยาเกิดการเสพติดได้โดยไม่รู้ตัว หากใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยขาดการแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกร
- สภาพแวดล้อม ถิ่นที่อยู่อาศัย มีการค้ายาเสพติด หรือมี ผู้ติดยาเสพติด
- ถูกหลอกให้ใช้ยาเสพติดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- เพื่อหนีปัญหา เมื่อมีปัญหาแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับตัวเองได้
- อาจติดจากการเล่นการพนัน หรือ เกม
[แก้]การสังเกตผู้ติดยาเสพติด
ยาเสพติดเมื่อเกิดการเสพติดแล้ว จะมีผลกระทบต่อร่างกายและ จิตใจ ซึ่งทำให้ลักษณะและความประพฤติของผู้เสพเปลี่ยนไป จากเดิมที่อาจสังเกตพบได้ คือ
- ร่างกายทรุดโทรม ซูบผอม
- อารมณ์ฉุนเฉียว หรือเงียบขรึมผิดปกติ จึงมักพบผู้เสพติดชอบทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายผู้อื่นหรือในทางกลับกัน บางคนอาจชอบแยกตัว อยู่คนเดียวและหนีออกจากพรรคพวกเพื่อนฝูง
- ถ้าผู้เสพเป็นนักเรียน มักพบว่า ผลการเรียนแย่ลง ถ้าเป็นคน ทำงาน มักพบว่าประสิทธิภาพในการทำงานลดลงหรือไม่ยอมทำงานเลย
- ใส่เสื้อแขนยาวตลอดเวลา เพื่อปกปิดรอยเข็มที่ฉีดยาตรงท้องแขนด้านใน หรือรอยกรีดตรงต้นแขนด้านใน
- ติดต่อกับเพื่อนแปลกๆใหม่ๆซึ่งมีพฤติกรรมผิดปกติ
- ขอเงินจากผู้ปกครองเพิ่ม หรือยืมเงินจากเพื่อนฝูงเสมอเพื่อนำไปซื้อยาเสพติด
- ขโมย ปล้น ฉกชิง วิ่งราว เพื่อหาเงินไปซื้อยาเสพติด
- ผู้ติดยาเสพติดบางชนิด เช่น เฮโรอีน จะมีอาการอยากยาบางคนจะมีอาการรุนแรงถึงขั้นลงแดง
อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวข้างต้น ไม่จำเป็นต้องเป็นผลมาจากการติดยาเสพติดเสมอไป อาจเกิดจากความผิดปกติในเรื่องอื่นก็ได้ เมื่อสงสัยว่า ผู้ใด ติดยาเสพติด จึงควรใช้การซักถาม อย่างตรงไปตรงมา ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือ ผู้ที่ติดยาส่วนใหญ่ รู้ว่าการใช้ยาเสพติดเป็นเรื่องไม่ดี หลายรายเคยมีความคิดที่จะเลิกแต่ทำไม่สำเร็จ การถามด้วยท่าทีเป็นมิตรจึง เป็นการช่วยให้ผู้เสพได้พูด ตามความจริง คำถามที่ใช้ไม่ควร ถามว่าติดหรือไม่ แต่ควรถามพฤติกรรมการใช้ อาทิถามว่าเคยใช้หรือไม่ ครั้งสุดท้ายที่ใช้เมื่อไหร่ ฯลฯ.
[แก้]วีธืป้องกันยาเสพติด
- ป้องกันตนเอง ไม่ทดลองยาเสพติดทุกชนิด และพยายามปลีกตัวออกห่างจากบุคคลหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ถ้ามีปัญหาหรือไม่สบายใจ อย่าเก็บไว้คนเดียว ควรปรึกษาพ่อแม่ ครู ผู้ใหญ่ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬาหรือทำงานอดิเรกต่าง ๆ ตามความสนใจและความถนัด ระมัดระวังในการใช้ยาต่าง ๆ และศึกษาให้เข้าใจถึงโทษภัยของยาเสพติด
- ป้องกันครอบครัว ควรสอดส่องดูแลเด็ก และบุคคลในครอบครัวอย่าให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อบรมสั่งสอนให้รู้ถึงโทษภัยของยาเสพติด ดูแลเรื่องการคบเพื่อน คอยส่งเสริมให้เขารู้จักการใช้เวลาในทางที่เป็นประโยชน์ เช่น การทำงานบ้าน เล่นกีฬา ฯลฯ เพื่อป้องกันมิให้เด็กหันเหไปสนใจในยาเสพติด สิ่งสำคัญก็คือทุกคนในครอบครัวควรสร้างความรัก ความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
- ป้องกันชุมชน หากพบผู้ติดยาเสพติดควรช่วยเหลือแนะนำให้เข้ารับการบำบัดรักษาโดยเร็ว โดยกฎหมายจะยกเว้นโทษให้ผู้ที่สมัครเข้าขอรับการบำบัดรักษาอาการติดยาเสพติด ก่อนที่ความผิดจะปรากฏต่อเจ้าหน้าที่ และเมื่อรู้ว่าใครกระทำผิดฐานนำเข้าส่งออก หรือจำหน่ายยาเสพติด ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ศุลกากร หรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.)